เจาะลึกกรณีศึกษา IoT กับการปรับใช้ Machine Learning ในโลกธุรกิจ
หากพูดถึงกรณีศึกษาในการนำ IoT มาปรับใช้ในภาคธุรกิจหลายธุรกิจ ในต่างประเทศนั้นก็ถือได้ว่าเป็นต้นแบบการพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมายที่น่าสนใจ และเป็นที่น่าจับตามองโดยเฉพาะ Machine Learning เป็นเทคโนโลยีที่ฝึกคอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรให้เรียนรู้ และสามารถทำอะไรบางอย่างได้ด้วยตัวมันเอง ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในตอนนี้
ถ้าหากมองย้อนมาที่ประเทศไทยของเรา ด้วยสภาพการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศไทยต้อง ปรับตัวเพื่อให้สามารถรักษาความสามารถทางการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก
เทคโนโลยี Internet of Things ถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ทำให้สิ่งต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของคนในประเทศ การศึกษากรณีศึกษา IoT ในต่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคตต่อไป พลัสฯ จึงขอพาทุกท่านมาเจาะลึกเกี่ยวกับ Machine Learning ว่าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับการเพิ่มศักยภาพให้กับองค์กรธุรกิจอย่างไร
Machine Learning คืออะไร มีกี่รูปแบบ?
Machine Learning ก็คือการทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถประมวลผล คาดการณ์ ตัดสินปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองผ่านการเรียนรู้ชุดข้อมูลที่ป้อนเข้าไป Machine Learning นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ AI ที่ช่วยให้ระบบการประมวลผลข้อมูลสามารถพัฒนาและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง ซึ่ง Machine Learning ก็จะสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 3 รูปแบบ ดังนี้
- การเรียนรู้โดยมี Data มาสอน (Supervised Learning)
- การเรียนรู้โดยไม่มี Data สอน (Unsupervised Learning)
- การเรียนรู้ตามสภาพแวดล้อม (Reinforcement Learning)
การนำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ
Machine Learning เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆรวมไปถึงการนำเทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาปรับในภาคธุรกิจมากมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน อีกทั้งยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมหาศาล และช่วยพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งการนำ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจก็มีมากมายที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันก็คือ ระบบความปลอดภัยในต่างประเทศ อย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้เทคโนโลยียืนยันใบหน้าระบุตัวตนแทนบัตรประชาชน (facial verification)
ถือว่าเป็นการนำเทคโนโลยี Machine Learning มาผสานที่น่าสนใจ โดยสิงคโปร์มีความมุ่งหวังเพื่อรักษาความปลอดภัยที่ช่วยระบุตัวตนของผู้ใช้งานด้วยข้อมูลประจำตัวจากระบบดิจิทัลของชาติ แทนการใช้บัตรประชาชนนั่นเอง
กรณีศึกษา Machine Learning ในต่างประเทศ
ในตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเช่น Google หรือ Amazon เริ่มมีการพัฒนา Machine Learning อย่างจริงจัง โดยผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยระดับองค์กรต่างๆ ก็เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาตรวจจับภัยคุกคามแทนที่การใช้ Signature-based แบบเดิมเพียงอย่างเดียว csoonline จึงเจาะลึกกรณีศึกษาตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Machine Learning ออกมาได้ ดังนี้
การศึกษาตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน Machine Learning กับความมั่นคงปลอดภัยที่เห็นได้ในภาคธุรกิจอย่างบริษัท Google เองก็มีเทคโนโลยี Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ภัยคุกคามบนมือถือเช่นกัน และได้มีการวิเคราะห์ภัยคุกคาม
ในปี 2016 สถาบัน MIT ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ด้านความมั่นคงความปลอดภัยที่ใช้ Machine Learning ช่วยตรวจสอบการล็อกอินหลายล้านครั้งต่อวัน และส่งข้อมูลต่อไปให้นักวิเคราะห์ได้คำนวณ พบว่าสามารถลดการแจ้งเตือนได้มากกว่า 100 ครั้งต่อวัน
โดยการทดสอบร่วมกันจากสถาบัน MIT และ PatternEX (บริษัท Startup ซอฟท์แวร์ในซานโฮเซ) พบว่าระบบมีความแม่นยำในการตรวจจับสูงถึง 85% และยังสามารถลด False Positive ลงไปถึง 5 เท่าอีกด้วย
นอกจากนี้ทีมงานจากมหาวิทยาลัยรัฐ Arizona พัฒนา Machine Learning เพื่อติดตามข้อมูลใน Dark Web เพื่อระบุข้อมูลที่เชื่อมโยงไปยังช่องโหว่ที่เป็น Zero-day หรือ การโจมตีผ่านช่องโหว่ ทั้งช่องโหว่ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและช่องโหว่ที่เกิดขึ้นจากการสร้างของผู้โจมตี
ผลสรุปจากการวิเคราะห์ Machine Learning ในครั้งนี้
เทคโนโลยี Machine Learning จะช่วย “ลดการทำงานซ้ำซากจำเจ หรือกิจกรรมการตัดสินใจบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็นมากนัก” เช่น การคัดแยกข้อมูลภัยคุกคาม เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถระบุข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายอีกด้วย
ซึ่งในประเทศไทยก็ได้มีการพัฒนา Machine Learning ออกมาเช่นกัน โดยทีมเทคโนโลยีที่ทางแสนสิริ ได้ร่วมพัฒนากับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่มีชื่อว่า
LIV-24 บริการดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อกับระบบรักษาความปลอดภัยและควบคุมอาคาร เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพื่อดูแลความปลอดภัยของพื้นที่ส่วนกลางภายในที่พักอาศัยอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้พักอาศัย และผู้ใช้งานอาคารสถานที่ ความสามารถของ LIV-24 ที่น่าสนใจจะมีอะไรบ้างตามไปดูกัน
- เทคโนโลยีจัดการระบบวิศวกรรมส่วนกลาง IOT Facility Management เก็บบันทึกข้อมูลปัจจุบันและนำข้อมูลย้อนหลังของอุปกรณ์ต่างๆ มาวิเคราะห์ผ่านระบบ AI มอนิเตอร์โดย ศูนย์ควบคุม LIV-24 แบบเรียลไทม์ 24ชั่วโมง เพื่อทำการบำรุงรักษา ก่อนเกิดความเสียหาย และสามารถแจ้งเตือนเหตุขัดข้อง เช่น ปั๊มน้ำไม่ทำงาน, น้ำรั่วซึม หรือระบบไฟฟ้าขัดข้องได้
ตรวจจับการทำงานที่เริ่มผิดปกติและป้องกันความเสียหายก่อนที่ระบบจะชำรุด Preventive Maintenance หาก COLD WATER PUMP ชำรุดหรือเสียหายจะมีการแจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุม LIV-24 จากนั้นจะมีการประสานงานแจ้งช่างเข้าตรวจสอบและซ่อมแซมก่อนลุกลาม ซึ่งสามารถยับยั้งไม่ให้เกิดมูลค่าความเสียหายได้กว่า 100,000 บาท
ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในพื้นที่ไม่ปลอดภัยด้วยระบบ CCTV - Video Analytics โดยระบบนี้จะแตกต่างจากล้อง CCTV ทั่วไป เนื่องจากระบบ Detect Monitoring สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไปจากเดิมจากการคาดการณ์ล่วงหน้า หากมีเหตุผิดปกติกล้องจะจับภาพนั้นและแจ้งเตือนขึ้นภาพไปยัง LIV-24 ศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24ชั่วโมง เช่น CCTV สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวบริเวณพื้นที่เสี่ยงริมสระว่ายน้ำ เพื่อเตรียมพร้อมช่วยเหลือหากเกิดเหตุ จะสามารถป้องกันเด็กเล็กเกิดอุบัติเหตุใกล้บ่อน้ำได้ทันเหตุการณ์
ปลอดภัยด้วย Digital Fence รั้วอัจฉริยะ Digital Fence คือ รั้วอัจริยะที่คอยตรวจจับความผิดปกติบริเวณรั้วรอบพื้นที่โครงการ หากมีการบุกรุกโดยบุกคนที่ไม่น่าไว้วางใจ Digital Fence จะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังศูนย์ควบคุม สามารถแก้ไขและยับยั้งการบุกรุกได้ทันท่วงที
ตรวจสอบและวัดผลการเดินเวรยามได้ด้วยระบบ Real-Time Guard Tour ตรวจสอบสถานะการเดินตรวจตราตามจุดของ รปภ. แบบเรียลไทม์ผ่านจอในศูนย์ควบคุม LIV-24 การตรวจตราของ รปภ. ประจำวันสามารถครอบคลุมการตรวจตามจุดสแกนได้ 94% มั่นใจได้ว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยเบื้องต้นภายในโครงการจะทำหน้าที่ได้อย่างเข้มงวด หรือหากพบเจอเหตุฉุกเฉินก็สามารถประสานงานแก้ไขได้ทันท่วงที
ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกวันทั้งแบบที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว เรานั้นก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันตามเทคโนโลยี เช่นกัน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานที่มากขึ้น เหมือนกับ พลัสฯ ที่นำ LIV-24 เข้ามาใช้งาน
พลัส ฯ เอง นอกเหนือจาก LIV-24 ที่เรานำมายกระดับการดูแลความปลอดภัยไปอีกขั้น เราก็มีใช้เทคโนโลยีในด้านการบริหารจัดการอาคารด้านอื่นๆ ด้วย เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ หุ่นยนต์บริการส่งพัสดุ เป็นต้น
ในโครงการคอนโดหรูที่มีพื้นที่จำกัด อาจมีการใช้ระบบ Auto Parking เพื่อช่วยอำนวยทั้งความสะดวกและความปลอดภัยให้กับลูกบ้านอย่างตอบโจทย์ มั่นใจได้ว่าที่อยู่อาศัยภายใต้ความดูแลของพลัส จะได้รับการดูแลในทุกๆด้านอย่างดีที่สุด เพื่อความสุขในการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงครับ